รักษารอยแตกลาย ด้วย Fractional laser

ผิวแตกลายสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว หญิงตั้งครรภ์ ไปจนถึงผู้ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างคอลลาเจนถูกทำลาย จนเกิดรอยแตกลายบริเวณต่างๆ โดยรอยแตกลายนั้นจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นกลาง และมักจะเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าท้อง หน้าอก เต้านม สะดือ ต้นแขน ต้นขา สะโพก รักแร้ และน่อง เป็นต้น

ผิวแตกลาย Stretch Marks หรือ Striae

คือ รอยแผลเป็นชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังของคนเรายืดหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินแตกตัวออก และเมื่อผิวหนังสมานตัวกัน รอยแตกลายก็จะเกิดขึ้น โดยแรกๆ รอยแตกลายจะมีสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำตาลแดง หรือสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับสีผิว และอาจจะมีลักษณะนูน ทำให้รู้สึกคัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสีจะจางลง และจะเป็นร่องแคบๆ ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ผิวแตกลายแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้

1.ผิวแตกลายระยะแรก หรือรอยแตกลายแดง (Striae Rubra)

เกิดจากการยืดตัวของร่างกายที่รวดเร็วเกินไป รอยแตกลายแดงจะมีหลอดเลือดอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้มีสีแดง สีม่วง ชมพูอมม่วง หรือสีน้ำตาลเข้ม โดยจะเห็นเป็นเส้นสีแดง ม่วง บนผิวหนังได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิว โดยผิวแตกลายชนิดนี้จะนูนกว่าผิวปกติ และมีอาการคันร่วมด้วย ผิวแตกลายแดงนั้นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ง่ายกว่ารอยแตกลายขาว การรักษามีตั้งแต่

• การทายาในกลุ่มวิตามินเอ
• การใช้เลเซอร์ กลุ่ม VBeam Laser ที่เป็นใหม่ ๆ ที่ยังมีสีออกแดง เพื่อลบรอยแดง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

Vbeam เป็นเลเซอร์ชนิด Pulsed Dye Laser มีความยาวคลื่นแสงที่ 595 นาโนเมตร (nm) ใช้ในการดูแลรักษาโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของเส้นเลือด โดยเลเซอร์ Vbeam จะส่งผ่านแสงเพื่อไปทำลายเส้นเลือดบริเวณฐานของสิวจึงสามารถลดรอยแดงได้ และแสงยังผ่านไปบริเวณผิวชั้นใน เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ด้วย

2.ผิวแตกลายระยะหลัง หรือรอยแตกลายขาว (Striae Alba)

เป็นรอยที่เกิดมานานและหลอดเลือดก็จะค่อยๆ จางหายไปจนกลายเป็นสีขาว เป็นร่องบุ๋มลึกลงไปบนผิวหนัง มักจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดผิวแตกลายแบบแรกเริ่มจางลง รอยแตกลายแบบนี้จะรักษาให้เลือนหายไปจากผิวได้ยากกว่ารอยแตกลายแดง

การรักษารอยแตกลายขาวนี้จะเลือกใช้กลุ่มเลเซอร์ กลุ่มคลื่นความถี่วิทยุที่ช่วยการปรับสภาพผิว แบบเดียวกับที่รักษาในกลุ่มแผลเป็น อย่างเช่น

 

1.enerjet โดยใช้หลักการ เจท วอลุ่ม เมทริค รีโมเดลลิ่ง( Jet Volumetric Remodeling) ใช้พลังงานจลน์เป็นตัวขับเคลื่อนส่งผ่านสารนำพาไฮยาลูรอนิค แอซิค ( hyaluronic acid) เข้มข้น หรือสารอื่นๆ เข้าสู่ผิวหนังทั้ง 3 ระดับ ซึ่งลงลึกถึงชั้น SMAS ด้วยแรงที่ส่งผ่านผิวหนังชั้นลึก โครงสร้างผิวจะเกิดการจัดเรียง สร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ ผิวจึงจะกระชับ แข็งแรง เรียบเนียน และได้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน